วันอังคารที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

ราพันเซล เบบล์ เงือกน้อย

เจ้าหญิงราพันเซล

ราพันเซล (เยอรมันRapunzel) คือเทพนิยายเยอรมัน ได้ถูกเก็บรวบรวมโดยพี่น้องตระกูลกริมม์ ลงพิมพ์ครั้งแรกในปี พ.ศ. 2355[1] ราพันเซลเป็นหนึ่งในเทพนิยายที่มีชื่อเสียง และเนื่อเรื่องได้ถูกการนำไปใช้ในการแสดงโดยนักวาดการ์ตูน และนักแสดงตลกมากมาย
กอเธลลักพาตัวราพันเซลไปซ่อนไว้ในหอคอยสูงกลางป่า แล้วเลี้ยงดูประดุจบุตรในอุทร เพื่อใช้ผมของราพันเซลช่วยให้นางคงความเยาว์วัยและสวยสด นางทราบดีว่า ถ้าตัดผมของราพันเซลออก ผมนั้นจะเสื่อมสรรพคุณ ดังนั้น นางจึงปล่อยให้เกศาของราพันเซลยาวโดยมิได้ตัดเลย และมิให้ราพันเซลออกนอกหอคอยเลย ทั้งนี้ ทุก ๆ ปี ในวันคล้ายวันประสูติของราพันเซล พระราชาและราษฎรของพระองค์จะปล่อยโคมลอยนับแสนดวงขึ้นสู่ฟ้า พวกเขาหวังว่าโคมลอยจะนำพาพระธิดาของพวกเขากลับมาอีกครั้ง เช้าวันหนึ่งเมื่อกอเธลกลับมา ราพันเซลขอให้นางไปเก็บเปลือกหอยมาให้เป็นของขวัญวันเกิดกอเธลยอมใช้เวลาเดินทางสามวันไปเอาของขวัญมาให้ ระหว่างนั้น ราพันเซลตกลงกับฟลินว่า ให้พาเธอออกไปนอกหอคอย เพื่อไปชมดูเหล่าโคมลอย ที่เธอเข้าใจว่าเป็น "หมู่ดาว"ระหว่างเดินทาง กอเธลพบม้าแม็กซิมัสที่ไม่มีคนขี่ และเกิดกังวลขึ้นมาว่าจะมีคนไปพบราพันเซลขึ้น เธอรีบกลีบไปยังหอคอย แต่พบว่าราพันเซลไม่อยู่แล้ว ฟลินพาราพัลเซลหนีไปได้ พอไม่นานราพัลเซลก็ถูกกอเธลจับตัวไปเมื่อฟลินมาถึงหอคอย กอเธลแทงเขาจากข้างหลัง ก่อนราพันเซลจะได้ช่วยฟลิน ฟลินคว้าเศษกระจกมาตัดผมของราพันเซล เกศาของราพันเซลจึงเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลเข้มและสูญเสียสรรพคุณไป กอเธลบันดาลโทสะและร่างกายนางก็เปลี่ยนกลับสู่ความชราอย่างรวดเร็ว จนนางมิอาจยอมรับเงาของตนในกระจกได้ และใช้ผ้าคลุมปิดหน้าตนเองไว้ ด้วยความโกรธและตระหนก นางสะดุดพุ่งออกจากประตูหอคอย ดิ่งลงสู่พื้นเบื้องล่าง ร่างกายของนางก็ร่วงโรยขึ้นเรื่อย ๆ ก่อนนางจะปะทะกับพื้นแล้วป่นเป็นเถ้ากระดูกไป ฟลินค่อย ๆ ตายลงในอ้อมแขนของราพันเซล ด้วยความเสียใจ ราพันเซลร้องไห้และร้องเพลงมนต์ หยาดน้ำตาของเธอหยดลงบนแก้มของฟลินและยังให้เขาฟื้นจากความตายอีกครั้ง
ทั้งสองกอดและจูบกัน แล้วพากันกลับอาณาจักร พระหทัยของราชาและราชินีนั้นล้นไปด้วยน้ำตาของความปีติที่ได้พบพระธิดาอีกครั้ง หลายปีต่อมา ฟลินและราพันเซลได้สมรสกัน

อ้างอิง[แก้]

  1.  Jacob and Wilhelm Grimm, Household Tales (English translation by Margaretmm Hunt), 1884, "Rapunzel"
  • McCafferty, Catherine. Rapunzel. Ohio: School Specialty Publishing, 2008. ISBN 0-7696-5418-5. (อังกฤษ, สเปน)
....................................................................................................
เจ้าหญิงเบล์

พ่อค้าผู้ร่ำรวยผู้หนึ่งอาศัยอยู่ในเมืองกับลูกสาวสามคน ลูกสาวคนสุดท้องได้รับการตั้งชื่อว่า เบลล์ (แปลว่าสวยงาม ในภาษาฝรั่งเศส: Belle) เพราะว่าเธอเป็นเด็กที่มีจิตใจดีและบริสุทธิ์ พ่อค้าผู้มั่งมีผู้นั้นในที่สุดก็ได้สูญเสียทรัพย์หลวงใหญ่ที่เขามี ความโชคร้ายของเขานั้น ทำให้เขากับลูกทั้งสาม ต้องย้ายที่พักอาศัยไปอยู่แถบชนบท หลังจากการอาศัยอยู่กับความลำบากผ่านมาเป็นปีๆ นี้แล้ว พ่อค้าเขาได้รับข่าวว่าเรือสรรพสินค้าที่เขาเคยส่งออกขายในอดีต ได้กลับเข้ามาสู่ท่าเรือ ซึ่งเป็นเรือที่หนีเจ้าหนี้มาได้ ดังนั้นพ่อค้าผู้นั้นได้ตัดสินใจว่า เขาจะไปดูในเมืองว่าเรือนี้ยังมีอะไรเหลือให้เขาและลูกอยู่ ก่อนที่เขาจะจากลูกๆ ในชนบทไปในเมือง เขาได้ถามลูกๆ ว่าอยากได้ของขวัญอะไร ลูกคนโตทั้งสองได้บอกพ่อของพวกเธอว่าพวกเธอประสงค์เครื่องเพชร และชุดสวยงาม โดยคิดว่าพ่อจะต้องกลับมาพร้อมกับความร่ำรวย เบลล์ลูกสาวสุดท้อง อยากได้แค่เพียงดอกกุหลาบเพียงดอกเดียว เพราะไม่มีกุหลาบโตแถวชนบท พอพ่อค้าได้ถึงท่าเรือ เขาก็ได้เจอกับความผิดหวัง เพราะเรือสรรพสินค้านั้น ได้ถูกเจ้าหนี้ยึดไปเสียแล้ว ซึ่งทำได้เขาไม่มีเงินที่จะซื้ออะไรให้ลูกของเขาเลย
ระหว่างการเดินทางกลับของเขา พ่อค้าได้หลงทางในป่า เขาเข้าไปในปราสาท โดยการที่ต้องการหาที่พักอาศัย พอเดินเข้าไปข้างใน เขาได้พบว่าในข้างใน ได้มีโต๊ะที่มีอาหารและเครื่องดืมมากมาย ซึ่งพ่อค้ารู้ทันทีเลยว่าเจ้าของปราสาทต้องจัดไว้ให้ พ่อค้าจึงรับของเหล่านี้โดยการรับประทาน ระหว่างที่เขากำลังจะเดินกลับจากปราสาท พ่อค้าก็ได้เจอ สวนดอกกุหลาบ และเขาจำได้ทันทีเลยว่า กุหลาบเป็นสิ่งที่เบลล์ต้องการ ในขณะที่เขากำลังเด็ดดอกกุหลาบ เขาก็ได้พบเจอกับอสูร ซึ่งทำให้พ่อค้ารู้เลยว่า ดอกกุหลาบคือสิ่งที่อสูรรักและหวงมาก อสูรตัดสินใจว่าจะลงโทษการกระทำของพ่อค้า ด้วยการขังพ่อค้าโดยไม่มีวันปล่อย พ่อค้าขอร้องอสูรอิสรภาพ โดยบอกอสูรว่าที่เขาทำลงไป ก็เพราะเขาต้องการทำให้ลูกสาวของเขา เขาอยากได้ดอกกุหลาบเป็นของขวัญให้ลูกคนเล็ก เมือฟังแล้ว อสูรก็ปล่อยพ่อค้า โดยมีข้อแม้ว่าพ่อค้าจะต้องนำตัวลูกสาวเขามาแทนที่ตน
พ่อค้าโศกเศร้ามาก แต่เขายอมทำสิ่งที่อสูรต้องการ เมือกลับมาถึงบ้าน พ่อค้าพยายามปกปิดเรื่องที่เกิดขึ้นจากเบลล์ แต่เบลล์เธอก็จับได้ และยินยอมที่จะไปเป็นนักโทษในปราสาทของอสูร เพราะเธอรู้ผิดที่ว่าเธอเป็นผู้ที่ต้องการกุหลาบนั้นตั้งแต่ทีแรก ในปราสาท เบลล์ได้รับการเลี้ยงดูและการเอาใจใส่อย่างดีงามมาก โดยได้รับเป็นแขกชั้นสูง อสูรได้มอบชุดสวยงามและอาหารอย่างดีให้เธอ อสูรได้สนทนากับเบลล์ทุกๆคืน และทุกๆคืน อสูรได้ขอเบลล์สมรส แต่ถูกปฏิเสธทุกครั้ง และทุกครั้งที่เธอปฏิเสธการสมรส เธอก็ได้ฝันเห็นถึงเจ้าชายโฉมงาม ผู้ที่ต้องการอยากรู้ว่าด้วยเหตุใดเธอถึงทำเช่นนี้กับเขา เบลล์ไม่คิดว่าเจ้าชายโฉมงามจะมีการเกี่ยวคล้องกับอสูร(เธอไม่คิดว่าเป็นคนเดียวกัน) เธอกลับคิดว่าอสูรได้กักขังเจ้าชายโฉมงามไว้ในปราสาท เพราะฉะนั้น เบลล์จึงค้นหาทุกซอกทุกมุมในปราสาท แต่ไม่เคยเจอเจ้าชายโฉมงามในฝันของเธอเลย
ในที่สุด เบลล์ก็เกิดอาการคิดถึงบ้าน และอ้อนวอนให้อสูรปลดปล่อยเธอไปหาครอบครัวเธอ อสูรทำตามใจเบลล์ แต่ต้องสัญญาว่าจะกลับมาภายในหนึ่งสัปดาห์ เบลล์ให้คำสัญญา และกลับบ้านพร้อมกับกระจกวิเศษและแหวนวิเศษ กระจกวิเศษนี้สามารถทำให้เธอมองเห็นผ่านความเงา และเห็นความเป็นอยู่ของปราสาท ส่วนแหวนวิเศษมีเวทมนตร์ที่ทำให้เธอกลับมาปราสาทได้ โดยต้องหมุนแหวนในนิ้วนางสามรอบ พอถึงบ้านพี่สาวทั้งสองได้เห็นเบลล์อยู่สุขสบายกว่าพวกเธอ และมีเสื้อผ้าที่หรูหราใส่ พวกเธอจึงริษยาน้องสาวขึ้นมาทันที ด้วยไฟริษยาและรู้ว่าเบลล์ต้องกลับภายในหนึ่งสัปดาห์ พี่สาวทั้งสองจึงเล่นละครแกล้งร้องไห้ร่ำไรไม่ให้เบลล์กลับไปปราสาท ด้วยสัญชาตญาณที่ดีของเบลล์ เธอจึงตัดสินใจไม่กลับ
เบลล์เกิดรู้สึกไม่ดีที่ผิดสัญญากับอสูร และใช่กระจกวิเศษมองดูว่าอสูรเป็นอย่างไรบ้าง เมื่อมองในกระจก เธอได้เห็นว่าอสูรกำลังนอนใกล้จะตายด้วยความอกหัก อยู่ที่สวนกุหลาบตรงที่พ่อเธอเคยแอบเด็ดไว้ เมื่อเห็นภาพที่อนาถตาแล้ว เธอจึงใช่แหวนวิเศษกลับไปหาอสูรที่ปราสาททันที
เมื่อเบลล์ถึงสวนดอกกุหลาบ อสูรก็ได้สิ้นชีวิตแล้ว เธอร้องไห้เศร้าโศกเสียใจ และพูดเสียงแผ่วเบาหลายๆ รอบ ว่าเธอรักอสูร แต่เมื่อน้ำตาเธอหยดลงบนอสูร อสูรก็ได้ฝืนคืนชีพกลับมา และร่างกายเขาก็ได้เปลี่ยนแปลงกายเป็นเจ้าชายโฉมงาม(เจ้าชายผู้เดียวกันที่เคยมาเยือนในฝันเบลล์) เจ้าชายผู้นี้เลยเล่าเรื่องให้เบลล์ฟังว่า กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว นางฟ้าสาปให้เขากลายเป็นอสูรที่อัปลัษณ์น่าเกลียดน่ากลัว หลังจากที่ปฏิเสธให้ความช่วยเหลือเธอ ซึ่งหนีฝนมา นางฟ้าบอกเจ้าชายว่า วิธีเดียวที่จะทำให้คำสาปหายคือการหารักแท้ โดยที่ไม่ใช่รูปโฉม

อ้างอิง

  Jeanne-Marie Leprince de Beaumont, Beauty and the Beast (อังกฤษ)

  1.  Heidi Anne Heiner, "Tales Similar to Beauty and the Beast" (อังกฤษ)
  2.  Thomas, Downing. Aesthetics of Opera in the Ancien Régime, 1647-1785. Cambridge: Cambridge UP, 2002. (อังกฤษ)

..................................................................................
เจ้าหญิงเงือกน้อย

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว...มีเจ้าหญิงเงือกน้อยที่มีชื่อว่า"แอเรียล"เธออาศัยอยู่ในอาณาจักรใต้ทะเลลึก แอเรียลเป็นคนอยากรู้อยากเห็น และเธอก็ชอบว่ายน้ำไปทั่วมหาสุมุทรเพื่อค้นหาสิ่งแปลกๆใหม่ๆ อยู่เสมอ
 วันหนึ่ง แอเรียลและเฟลาน์เดอร์ เพื่อนรักของเธอได้พบซากเรืออัปปางเก่าๆ ลำหนึ่งจมอยู่ที่พื้นมหาสมุทร"ดูสิ!!! เฟลาน์เดอร์"แอเรียลร้องบอกอย่างตื่นเต้น "นั้นๆ เรือของมนุษย์หนิ!! เราเข้าไปสำรวจดูหันเถอะ" แอเรียลพบของแปลกตาชิ้นหนึ่งในเรืออัปปาง "นั่นอ่ะไรน่ะ ?"เฟลาน์เดอร์ถาม เนื่องจากทั้งคู่อาศัยอยู่ในใต้ทะเล จึงไม่เคยเห็นสิ่งของที่มนุษย์ใช้มาก่อน ดังนั้น พวกเขาจึงไม่รู้จักส้อมเลย "บางทีสคัทเทิลอาจจะรู้ก็ได้นะว่าสิ่งนี้มันคืออ่ะไร" แอเรียลบอก  แอเรียลและเฟลาน์เดอร์ว่ายน้ำขึ้นบนผิวน้ำเพื่อถามนกนางนวลที่มีชื่อว่า"สคัทเทิล" สคัทเทิลได้บอกว่านี้คือ"ดิงเกลฮอปเปอร์ไงละ" เขาเอ่ยขึ้นพร้อมนำส้อมมาครูดไปมาบนหัว "พวกมนุษย์ที่ไม่คุ้นเคยกับทะเลเอาไว้ใช้หวีผม" "จริงหรอ" แอเรียลร้องถาม ทันใดนั้น แอเรียลก็พึงนึกขึ้นได้ว่าเธอจะต้องขึ้นไปร้องเพลงในงานแสดงคอนเสิร์ตที่พระบิดาของเธอจัดขึ้นไว้ "ตายละ" เธออุทานขึ้น "ฉันคิดว่าท่านพ่อคงจะต้องโกรธฉันน่าดูเลย!!" ขณะนั้นเองที่เธอกำลังจะไปหาท่านพ่อ ท่าพ่อของเธอโกรธจัดมากๆ พระองค์ได้ตำหนิแอเรียลโดยมีเซบาสเตียน ข้าราชบริพารผู้ซื่อสัตย์เฝ้ามองอย่างเห็นด้วย "พวกเราทุกคนรอให้ลูกขึ้นมาร้องเพลง" พระองค์ได้คำราม "พอลูกไม่มางานแสดงคอนเสิร์ตครั้งนี้ก็เลยพังไม่เป็นท่า" "โถ่ ท่านพ่อค่ะ ลูกเพียงแค่ไปเก็บสมบัติของมนุษย์จากซากเรือที่แตกเท่านั้นเอง" แอเรียลชี้แจง"พวกมนุษย์น่ะอันตรายมาก พ่อขสั่งห้ามให้ลูกไปยุ่งเกี่ยวกับมนุษย์อีกหรือวัตถุประหลาดๆของพวกเขาอีกต่อไปเด็ดขาด" พระราชาทรัยตันสั่งด้วยความโกรธ แต่ในวันรุ่งขึ้น  แอเรียลและเฟลาน์เดอร์มองเห็นเรือลำหนึ่งอยู่บนผิวน้ำ "ไปกันเถอะ ฉันอยากเห็นว่าโลกมนุษย์เป็นยังไง"แอเรียลชวนแอเรียลจ้องมองไปยังพวกมนุษย์ที่อยู่บนเรือดวงตาที่เบิกกว้างทุกคนดูสนุกสนานกับการร้องเพลงและเต้นรำ"สุขสันต์วันเกิด เจ้าชายเอริค !"พวกเขากล่าวกับชายหนุ่มรูปร่างงามทันใดนั้น  พายุเริ่มพัดโหมกระหน่ำและไม่นานต่อมาเรือก็โคลงเคลงไปมาอยู่ทามกลางท้องทะเลที่บ้าคลั่งและแล้วลูกคลื่นยักษ์ได้ซัดกระหน่ำไปบนดาดฟ้าเรือและกระเทกร่างของเอเริคลอยละลิ่วตกลงไปในทะเลที่คลื่นลมแรง แอเรียลดำลงไปใต้พายุคลื่นเพื่อช่วยชีวิตเจ้าชายเอาไว้แล้วดึงเขาขึ้นสู่บนผิวน้ำ จากนั้น เธอก็รวบรวมกำลังลากเขาแหวกว่ายฝ่าพายุไปจนถึงฝั่งแอเรียลอยู่ใกล้ๆ เอริคเพื่อดูให้แน่ใจว่าเขาไม่เป็นอ่ะไร เธอเริ่มร้องเพลงหวานๆซึ่งด้วยน้ำเสียงแสนไพเราะเพราพริ้งของเธอ เมื่อเอริคฟื้นขึ้นคืนสติมาได้ แอเรียลรีบถอยกลับลงไปในน้ำทันทีก่อนที่เขาจะรู้ว่าเป็นเงือก เอริคไม่ได้เห็นหน้าแอเรียลเลย แต่เขาจำน้ำเสียงของเธอได้อย่างแม่นยำ
แอเรียลว่ายน้ำลงไปใต้ทะเลเพื่อใช้ความคิดอยู่ครู่หนึ่ง เธอได้ตกหลุมรักเอริคเข้าซะแล้ว แต่เธอเป็นเงือกและเขาเป็นมนุษย์อีกด้วย !
 ขณะนั้นเองที่แอเรียลกำลังจมอยู่ในความคิดถึงเอริค ปลาไหล2ตัวได้ปรากฏตัวขึ้นทำให้เธอตกใจ ปลาไหลทั้งคู่เป็นลูกสมุนของเออร์ซูลา นางแม่มดทะเลผู้ชั่วร้าย "มากับพวกเราสิ เจ้าหญิงน้อยที่แสนสวย" ปลาไหลที่ร้ายกาจชักชวน "มากับเราดิ "เรารู้จักคนๆนึงที่สามารถช่วยท่านสมหวังตามความปราถนาแห่งหัวใจได้ !"

ปลาไหล ทั้งคู่พาเอเรียลไปหานางแม่มดทะเล เจ้านายของพวกมัน "ข้าสามารถทำให้เจ้าเป็นมนุษย์ได้ตามปราถนาของเจ้า" เออร์ซูลาเสนอ "แต่เธอต้องมอบเสียงอันไพเราะให้แกข้า เจ้าก็จะได้มีเวลา3วันที่จะทำให้เจ้าชายเอริคตกหลุมรักให้ได้ และถ้าเขาจุมพิตเจ้า เจ้าก็จะได้เป็นมนุษย์ไปตลอดกาล* แต่ถ้าเขาไม่จุมพิตเจ้าภายในสามวันนี้ เจ้าก็จะต้องตกเป็นทาสของข้าไปตลอดกาล"
 แอเรียลหลงรักเอริคมาก เธอจึงยินยอมทำตามแผนของออร์ซูลา ดังนั้นนางแม่มดทะเลจึงดูดเสียงของแอเรียลมาเห็บไว้ในสร้อยคอเปลือกหอยของนาง ท่ามกลางกระแสลมหมุนวนที่มองไม่เห็น ร่างของเจ้าหญิงเงือกน้อยก็เริ่มเป็นมนุษย์ที่มีขาเป็นของเธอเองคู่หนึ่ง
แอเรียลมาถึงชายฝั่งในเกวลาเดียวกับที่เอริคเดินผ่านมาพร้อมกับสุนัขของเขาพอดี เอริคหวังว่าจะเป็นหญิงสาวที่เคยร้องเพลงอันไพเราะให้เขาฟัง แต่เมื่อเขาถามเธอ เธอกลับพูดไม่ได้เลย ดังนั้นเธอคงไม่ใช่หญิงสาวที่มีเสียงอันไพเราะแน่ ถึงยังไง เอริคก็ได้เชิญแอเรียลไปยังปราสาทอันสวยงามของเขา
ถึงแม้แอเรียลจะไม่มีเสียง แต่เธอก็อยากจะสร้างความประทับใจให้กับเอริคและกริมสบี้ เสนาบดีที่ซื่อสัตย์ของเขา ดังนั้น เมื่อเธอเห็นส้อมที่วางอยู่บนโต๊ะ เธอจึงหยิบขึ้นมาหวีผม "พิลึกจรืงๆ" กริมสบี้พึมพำ แต่เอริคกลับชอบใจในความเปิ่นของแอเรียล
บ่ายวันนั้น เอริคพาแอเรียลไปพายเรือเล่นในทะเลสาบที่เงียบสงบท่ามกลางบรรยากาศอันแสนโรแมนติก ตอนนี้ เอริคได้ตกหลุมรักเธอแอเรียลแล้วและถ้าเขาจุมพิตเธอ เธอก็จะได้เป็นมนุษย์ไปตลอดกาล แต่ออร์ซูลาได้เฝ้าจับตามมองทั้ง2อยู่ตลอดเวลา และนางจะไม่ยอมให้เป็นเช่นนั้นเป็นอันขาด ขณะที่เอริคกำลังจะจุมพิตแอเรียล ปลาไหลาทั้ง2ตัวที่เออร์ซูลาส่งมาได้พลิกเรือให้คว่ำลง ทำให้เอริคและแอเรียลตกลงไปในน้ำ
ตอนนี้ เออร์ซูลาจะต้องลงมือทำอ่ะไรสักอย่างเพื่อให้แน่ใจว่าแอเรียลและเอริคจะไม่มีทางได้จุมพิตเพื่อแสดงความรักต่อกันอย่างแน่นอน ดังนั้น นางจึงแปลงร่างเป็นสาวน้อยผู้เลอโฉทชื่อ "วาเนสซา" เพื่อแย่งชิงหัวใจของเจ้าชายมาจากแอเรียล
 คืนนั้น! เออร์ซูลาได้ปลอมตัวเป็นวาเนสซ่ามาร้องเพลงอย่างไพเราะเพราะพริ้งให้เอริคฟังด้วยน้ำเสียงที่น่าหลงใหลของแอเรียลซึ่งถูกกักไว้ในสร้อยคอของนาง เอริคจำเสียงร้องได้ในทันที เขาวิ่งตามวาเนสซาราวกับตกอยู่ในภวงค์
เช้าวันรุ่งขึ้น แอเรียลพบว่าเอริคตกหลุมรักวาเนสซาเสียแล้ว และทั้งคู่กำลังจะอภิเษกสมรสกันในบ่ายวันนั้น บนเรือของเอริค "เป็นไปไม่ได้ !" แอเรียลคิด เธอเฝ้ามองดูเอริคควงแขนวาเนสเข้ามาในปราสาทอย่างเศร้าสร้อย
 แต่มีบางอย่างผิดปกติไป! เพราะเอริคดูไม่เป็นตัวของตัวเองเลย
แอเรียลผู้น่าสงสาร นั่งจมอยู่ในความเศร้าที่ท่าเรือพร้อมกับเซบาสเตียนวันนี้เป็นวันสุดท้ายแล้วที่เธอจะได้เป็นมนุษย์ และตอนนี้ก็คงไม่มีโอกาสอีกแล้วที่เอริคจะจุมพิตเธอ ทันใดนั้น สคัทเทิลก็บินเข้ามาหาทั้ง2เขาจับได้ว่า ที่แท้จริงแล้ววาเนสซาก็คือ เออร์ซูลานั่นเอง และนางได้ร่ายมนตร์ให้เอรืคหลงรัก "เราจะต้องขัดขวางการแต่งงานนี้ให้ได้ !" เขาร้องบอก
ทันใดนั้น พวกเขามาถึงเรือ สคัทเทิลก็ชากเปลือกหอยจนหลุดจากคอของวาเนสซา เสียงอันไพเราะของแอเรียลจึงหลุดออกจากที่กักขังลอยกลับมาหาเธอในทันที "โอ เอริค "แอเรียลร้อง "ฉันสามารถร้องเพลงให้ท่านฟังเหมือนอย่างที่ฉันเคยทำได้อีกครั้ง" เมื่อได้ยินเสียงอันไพเราะ เจ้าชายเอริคจึงรู้สึกตัวหลุดจากมนตร์สะกดของออร์ซูลาในทันใดและวิ่งเข้าสู่ออมกอดของแอเรียล
 แต่เวลาของแอเรียลหมดลงแล้ว เธอกลายร่างกลัไปเป็นเงือกภายในพริบตา ในขณะที่วาเนสได้คืนร่างเป็นเออร์ซูลาที่อัปลักษณ์ดังเดิม
 "ตอนนี้เจ้าตกเป็นทาสของข้าแล้ว !" เออร์ซูลาร้องบอก ก่อนที่เอริคจะทันได้ขัดขวางนางเอาไว้ เออร์ซูลาก้กระชากตัวแอเรียลกระโจนลงไปในห้องทะเลลึกอันมืดมิด และดำดิ่งลงไปเรื่อยๆ
เมื่อราชาทรัยตัน ทราบข่าวพระองค์ก็รีบชุดไปช่วยธิดาของพระองค์ในทันที
"ออกไปฝห้พ้น นางแม่มด !" ราชาทรัยตันคำรามร้องขู่เออร์ซูลา "ตอนนี้แอเรียลได้ตกเป็นทาสของข้าแล้ว ท่าจะขัดขว้างข้าไม่ได้ !" เออร์ซูลาบอก "ถ้าอยากให้แอเรียลเป็นอิสระ ท่านต้องแต่งตั้งให้ข้าเป็นราชินีแห่งมหาสมุทรทั้งหมดของโลกใบนี้ วะ ฮา ฮ่า !" ราชาทรัยตันจึงยอมยกตรีศูลวิเศษอันทรงอำนาจและมงกุฎให้กับแม่มดร้ายเออร์ซูลา เพื่อช่วยแอเรียลผู้อันเป็นที่รักของพระองค์
แต่ที่บนผิวน้ำของมหาสมุทรนั้น เอริคได้รีบรุดมาช่วยหญิงอันเป็นที่รักของเขา เขาพุ่งฉมวกเข้าใส่เออร์ซูลา "ใครบังอาจมาท้าทายราชินีแห่งมหาสมุทรทั้งหมดของโลกอย่างข้าจริงเชียว !" เออร์ซูลาร้องถามอย่างโกรธเกรี้ยว เอริคบังคับเรือให้พุ่งใส่เออร์ซูลาสัตว์ร้ายที่กำลังโกรธเกรี้ยวด้วยความเร็วสูง และไสหัวเรือที่ยาวยื่นให้ทิ่มแทงทะลุหัวใจของนาง ทำให้นางแม่มดผู้ปราชัยจมดิ่งลงไปยังก้นมหาสมุทรชั่วนิรันดร์ <อย่าเพิ่งยังไม่จบ ฟังต่อสิ>
เมื่อราชาทรัยตันโบกตรีศูลวิเศษของพระองค์อีกครั้ง พระองค์ก็กลับมามีอำนาจที่ยิ่งใหญ่ดังเดิม แล้วพระองค์ก็เห็นแอเรียลนั่งอยู่บนโขดหินด้วยสีหน้าอันเศร้าสร้อยจนพระองค์รู้สึกสงสารเธอมาก เอริคยืนรอเธออยู่ที่ชายหากแต่เธอไม่สามารถเดินไปหาเขาได้
"เธอรักเขาใช่มั้ย?" พระองค์เอ่ยกับเซบาสเตียน "ข้าต้องช่วยเธอแล้วหละ" เมื่อพูดจบ พระองค์ก็ใช้ตรีศูลวิเศษส่องลำแสงเจิดจ้าไปยังแอเรียลเสกให้เธอกลายร่างจากเงือกน้อยเป็นมนุษย์สาวที่มีขา... และครั้งนี้เป็นการเปลี่ยนแปลงชั่วนิรันดร์ !
แอเรียลดีใจมาก เธอวิ่งเข้าไปหาเอริค ซึ่งสวมกิดเธออย่างรักใคร่ในที่สุด เอริคก็ได้จุมพิตแอเรียลยอดรักของเขาหลังจากเสร็จพิธีอภิเสกสมรสที่งดงาม ซึ่งมีครอบครัวและเพื่อนๆทั้งหมดของเธอเข้ามร่วมพิธีกันอย่างพร้อมพรั่งแล้ว แอเรียลสวมกอดพระบิดาของเธออย่างอ่อนโยนพร้อมกับกล่าวคำอำลาพระองค์บรรดาสัตว์ทั้งหลายในท้องทะเล พากันโบกมืออำลาเมื่อเอริคและแอเรียลเดินทางจากไปอย่างมีความสุขบนเรือวิวาห์ที่สวยงาม ในที่สุดทั้งสองก็ได้ครองคู่อยู่ด้วยกันตลอดไป!
แอเรียลว่ายน้ำลงไปใต้ทะเลเพื่อใช้ความคิดอยู่ครู่หนึ่ง เธอได้ตกหลุมรักเอริคเข้าซะแล้ว แต่เธอเป็นเงือกและเขาเป็นมนุษย์อีกด้วย !  ขณะนั้นเองที่แอเรียลกำลังจมอยู่ในความคิดถึงเอริค ปลาไหล2ตัวได้ปรากฏตัวขึ้นทำให้เธอตกใจ ปลาไหลทั้งคู่เป็นลูกสมุนของเออร์ซูลา นางแม่มดทะเลผู้ชั่วร้าย "มากับพวกเราสิ เจ้าหญิงน้อยที่แสนสวย" ปลาไหลที่ร้ายกาจชักชวน "มากับเราดิ "เรารู้จักคนๆนึงที่สามารถช่วยท่านสมหวังตามความปราถนาแห่งหัวใจได้ !"ปลาไหล ทั้งคู่พาเอเรียลไปหานางแม่มดทะเล เจ้านายของพวกมัน "ข้าสามารถทำให้เจ้าเป็นมนุษย์ได้ตามปราถนาของเจ้า" เออร์ซูลาเสนอ "แต่เธอต้องมอบเสียงอันไพเราะให้แกข้า เจ้าก็จะได้มีเวลา3วันที่จะทำให้เจ้าชายเอริคตกหลุมรักให้ได้ และถ้าเขาจุมพิตเจ้า เจ้าก็จะได้เป็นมนุษย์ไปตลอดกาล* แต่ถ้าเขาไม่จุมพิตเจ้าภายในสามวันนี้ เจ้าก็จะต้องตกเป็นทาสของข้าไปตลอดกาล"
 แอเรียลหลงรักเอริคมาก เธอจึงยินยอมทำตามแผนของออร์ซูลา ดังนั้นนางแม่มดทะเลจึงดูดเสียงของแอเรียลมาเห็บไว้ในสร้อยคอเปลือกหอยของนาง ท่ามกลางกระแสลมหมุนวนที่มองไม่เห็น ร่างของเจ้าหญิงเงือกน้อยก็เริ่มเป็นมนุษย์ที่มีขาเป็นของเธอเองคู่หนึ่ง
แอเรียลมาถึงชายฝั่งในเกวลาเดียวกับที่เอริคเดินผ่านมาพร้อมกับสุนัขของเขาพอดี เอริคหวังว่าจะเป็นหญิงสาวที่เคยร้องเพลงอันไพเราะให้เขาฟัง แต่เมื่อเขาถามเธอ เธอกลับพูดไม่ได้เลย ดังนั้นเธอคงไม่ใช่หญิงสาวที่มีเสียงอันไพเราะแน่ ถึงยังไง เอริคก็ได้เชิญแอเรียลไปยังปราสาทอันสวยงามของเขา
ถึงแม้แอเรียลจะไม่มีเสียง แต่เธอก็อยากจะสร้างความประทับใจให้กับเอริคและกริมสบี้ เสนาบดีที่ซื่อสัตย์ของเขา ดังนั้น เมื่อเธอเห็นส้อมที่วางอยู่บนโต๊ะ เธอจึงหยิบขึ้นมาหวีผม "พิลึกจรืงๆ" กริมสบี้พึมพำ แต่เอริคกลับชอบใจในความเปิ่นของแอเรียล
บ่ายวันนั้น เอริคพาแอเรียลไปพายเรือเล่นในทะเลสาบที่เงียบสงบท่ามกลางบรรยากาศอันแสนโรแมนติก ตอนนี้ เอริคได้ตกหลุมรักเธอแอเรียลแล้วและถ้าเขาจุมพิตเธอ เธอก็จะได้เป็นมนุษย์ไปตลอดกาล แต่ออร์ซูลาได้เฝ้าจับตามมองทั้ง2อยู่ตลอดเวลา และนางจะไม่ยอมให้เป็นเช่นนั้นเป็นอันขาด ขณะที่เอริคกำลังจะจุมพิตแอเรียล ปลาไหลาทั้ง2ตัวที่เออร์ซูลาส่งมาได้พลิกเรือให้คว่ำลง ทำให้เอริคและแอเรียลตกลงไปในน้ำ
ตอนนี้ เออร์ซูลาจะต้องลงมือทำอ่ะไรสักอย่างเพื่อให้แน่ใจว่าแอเรียลและเอริคจะไม่มีทางได้จุมพิตเพื่อแสดงความรักต่อกันอย่างแน่นอน ดังนั้น นางจึงแปลงร่างเป็นสาวน้อยผู้เลอโฉทชื่อ "วาเนสซา" เพื่อแย่งชิงหัวใจของเจ้าชายมาจากแอเรียล
 คืนนั้น! เออร์ซูลาได้ปลอมตัวเป็นวาเนสซ่ามาร้องเพลงอย่างไพเราะเพราะพริ้งให้เอริคฟังด้วยน้ำเสียงที่น่าหลงใหลของแอเรียลซึ่งถูกกักไว้ในสร้อยคอของนาง เอริคจำเสียงร้องได้ในทันที เขาวิ่งตามวาเนสซาราวกับตกอยู่ในภวงค์
เช้าวันรุ่งขึ้น แอเรียลพบว่าเอริคตกหลุมรักวาเนสซาเสียแล้ว และทั้งคู่กำลังจะอภิเษกสมรสกันในบ่ายวันนั้น บนเรือของเอริค "เป็นไปไม่ได้ !" แอเรียลคิด เธอเฝ้ามองดูเอริคควงแขนวาเนสเข้ามาในปราสาทอย่างเศร้าสร้อย
 แต่มีบางอย่างผิดปกติไป! เพราะเอริคดูไม่เป็นตัวของตัวเองเลย
แอเรียลผู้น่าสงสาร นั่งจมอยู่ในความเศร้าที่ท่าเรือพร้อมกับเซบาสเตียนวันนี้เป็นวันสุดท้ายแล้วที่เธอจะได้เป็นมนุษย์ และตอนนี้ก็คงไม่มีโอกาสอีกแล้วที่เอริคจะจุมพิตเธอ ทันใดนั้น สคัทเทิลก็บินเข้ามาหาทั้ง2เขาจับได้ว่า ที่แท้จริงแล้ววาเนสซาก็คือ เออร์ซูลานั่นเอง และนางได้ร่ายมนตร์ให้เอรืคหลงรัก "เราจะต้องขัดขวางการแต่งงานนี้ให้ได้ !" เขาร้องบอก
 แอเรียลหลงรักเอริคมาก เธอจึงยินยอมทำตามแผนของออร์ซูลา ดังนั้นนางแม่มดทะเลจึงดูดเสียงของแอเรียลมาเห็บไว้ในสร้อยคอเปลือกหอยของนาง ท่ามกลางกระแสลมหมุนวนที่มองไม่เห็น ร่างของเจ้าหญิงเงือกน้อยก็เริ่มเป็นมนุษย์ที่มีขาเป็นของเธอเองคู่หนึ่งแอเรียลมาถึงชายฝั่งในเกวลาเดียวกับที่เอริคเดินผ่านมาพร้อมกับสุนัขของเขาพอดี เอริคหวังว่าจะเป็นหญิงสาวที่เคยร้องเพลงอันไพเราะให้เขาฟัง แต่เมื่อเขาถามเธอ เธอกลับพูดไม่ได้เลย ดังนั้นเธอคงไม่ใช่หญิงสาวที่มีเสียงอันไพเราะแน่ ถึงยังไง เอริคก็ได้เชิญแอเรียลไปยังปราสาทอันสวยงามของเขาถึงแม้แอเรียลจะไม่มีเสียง แต่เธอก็อยากจะสร้างความประทับใจให้กับเอริคและกริมสบี้ เสนาบดีที่ซื่อสัตย์ของเขา ดังนั้น เมื่อเธอเห็นส้อมที่วางอยู่บนโต๊ะ เธอจึงหยิบขึ้นมาหวีผม "พิลึกจรืงๆ" กริมสบี้พึมพำ แต่เอริคกลับชอบใจในความเปิ่นของแอเรียลบ่ายวันนั้น เอริคพาแอเรียลไปพายเรือเล่นในทะเลสาบที่เงียบสงบท่ามกลางบรรยากาศอันแสนโรแมนติก ตอนนี้ เอริคได้ตกหลุมรักเธอแอเรียลแล้วและถ้าเขาจุมพิตเธอ เธอก็จะได้เป็นมนุษย์ไปตลอดกาล แต่ออร์ซูลาได้เฝ้าจับตามมองทั้ง2อยู่ตลอดเวลา และนางจะไม่ยอมให้เป็นเช่นนั้นเป็นอันขาด ขณะที่เอริคกำลังจะจุมพิตแอเรียล ปลาไหลาทั้ง2ตัวที่เออร์ซูลาส่งมาได้พลิกเรือให้คว่ำลง ทำให้เอริคและแอเรียลตกลงไปในน้ำตอนนี้ เออร์ซูลาจะต้องลงมือทำอ่ะไรสักอย่างเพื่อให้แน่ใจว่าแอเรียลและเอริคจะไม่มีทางได้จุมพิตเพื่อแสดงความรักต่อกันอย่างแน่นอน ดังนั้น นางจึงแปลงร่างเป็นสาวน้อยผู้เลอโฉทชื่อ "วาเนสซา" เพื่อแย่งชิงหัวใจของเจ้าชายมาจากแอเรียล คืนนั้น! เออร์ซูลาได้ปลอมตัวเป็นวาเนสซ่ามาร้องเพลงอย่างไพเราะเพราะพริ้งให้เอริคฟังด้วยน้ำเสียงที่น่าหลงใหลของแอเรียลซึ่งถูกกักไว้ในสร้อยคอของนาง เอริคจำเสียงร้องได้ในทันที เขาวิ่งตามวาเนสซาราวกับตกอยู่ในภวงค์เช้าวันรุ่งขึ้น แอเรียลพบว่าเอริคตกหลุมรักวาเนสซาเสียแล้ว และทั้งคู่กำลังจะอภิเษกสมรสกันในบ่ายวันนั้น บนเรือของเอริค "เป็นไปไม่ได้ !" แอเรียลคิด เธอเฝ้ามองดูเอริคควงแขนวาเนสเข้ามาในปราสาทอย่างเศร้าสร้อย แต่มีบางอย่างผิดปกติไป! เพราะเอริคดูไม่เป็นตัวของตัวเองเลยแอเรียลผู้น่าสงสาร นั่งจมอยู่ในความเศร้าที่ท่าเรือพร้อมกับเซบาสเตียนวันนี้เป็นวันสุดท้ายแล้วที่เธอจะได้เป็นมนุษย์ และตอนนี้ก็คงไม่มีโอกาสอีกแล้วที่เอริคจะจุมพิตเธอ ทันใดนั้น สคัทเทิลก็บินเข้ามาหาทั้ง2เขาจับได้ว่า ที่แท้จริงแล้ววาเนสซาก็คือ เออร์ซูลานั่นเอง และนางได้ร่ายมนตร์ให้เอรืคหลงรัก "เราจะต้องขัดขวางการแต่งงานนี้ให้ได้ !" เขาร้องบอกทันใดนั้น พวกเขามาถึงเรือ สคัทเทิลก็ชากเปลือกหอยจนหลุดจากคอของวาเนสซา เสียงอันไพเราะของแอเรียลจึงหลุดออกจากที่กักขังลอยกลับมาหาเธอในทันที "โอ เอริค "แอเรียลร้อง "ฉันสามารถร้องเพลงให้ท่านฟังเหมือนอย่างที่ฉันเคยทำได้อีกครั้ง" เมื่อได้ยินเสียงอันไพเราะ เจ้าชายเอริคจึงรู้สึกตัวหลุดจากมนตร์สะกดของออร์ซูลาในทันใดและวิ่งเข้าสู่ออมกอดของแอเรียล
 แต่เวลาของแอเรียลหมดลงแล้ว เธอกลายร่างกลัไปเป็นเงือกภายในพริบตา ในขณะที่วาเนสได้คืนร่างเป็นเออร์ซูลาที่อัปลักษณ์ดังเดิม
 "ตอนนี้เจ้าตกเป็นทาสของข้าแล้ว !" เออร์ซูลาร้องบอก ก่อนที่เอริคจะทันได้ขัดขวางนางเอาไว้ เออร์ซูลาก้กระชากตัวแอเรียลกระโจนลงไปในห้องทะเลลึกอันมืดมิด และดำดิ่งลงไปเรื่อยๆ
เมื่อราชาทรัยตัน ทราบข่าวพระองค์ก็รีบชุดไปช่วยธิดาของพระองค์ในทันที
"ออกไปฝห้พ้น นางแม่มด !" ราชาทรัยตันคำรามร้องขู่เออร์ซูลา "ตอนนี้แอเรียลได้ตกเป็นทาสของข้าแล้ว ท่าจะขัดขว้างข้าไม่ได้ !" เออร์ซูลาบอก "ถ้าอยากให้แอเรียลเป็นอิสระ ท่านต้องแต่งตั้งให้ข้าเป็นราชินีแห่งมหาสมุทรทั้งหมดของโลกใบนี้ วะ ฮา ฮ่า !" ราชาทรัยตันจึงยอมยกตรีศูลวิเศษอันทรงอำนาจและมงกุฎให้กับแม่มดร้ายเออร์ซูลา เพื่อช่วยแอเรียลผู้อันเป็นที่รักของพระองค์
แต่ที่บนผิวน้ำของมหาสมุทรนั้น เอริคได้รีบรุดมาช่วยหญิงอันเป็นที่รักของเขา เขาพุ่งฉมวกเข้าใส่เออร์ซูลา "ใครบังอาจมาท้าทายราชินีแห่งมหาสมุทรทั้งหมดของโลกอย่างข้าจริงเชียว !" เออร์ซูลาร้องถามอย่างโกรธเกรี้ยว เอริคบังคับเรือให้พุ่งใส่เออร์ซูลาสัตว์ร้ายที่กำลังโกรธเกรี้ยวด้วยความเร็วสูง และไสหัวเรือที่ยาวยื่นให้ทิ่มแทงทะลุหัวใจของนาง ทำให้นางแม่มดผู้ปราชัยจมดิ่งลงไปยังก้นมหาสมุทรชั่วนิรันดร์ <อย่าเพิ่งยังไม่จบ ฟังต่อสิ>
เมื่อราชาทรัยตันโบกตรีศูลวิเศษของพระองค์อีกครั้ง พระองค์ก็กลับมามีอำนาจที่ยิ่งใหญ่ดังเดิม แล้วพระองค์ก็เห็นแอเรียลนั่งอยู่บนโขดหินด้วยสีหน้าอันเศร้าสร้อยจนพระองค์รู้สึกสงสารเธอมาก เอริคยืนรอเธออยู่ที่ชายหากแต่เธอไม่สามารถเดินไปหาเขาได้
"เธอรักเขาใช่มั้ย?" พระองค์เอ่ยกับเซบาสเตียน "ข้าต้องช่วยเธอแล้วหละ" เมื่อพูดจบ พระองค์ก็ใช้ตรีศูลวิเศษส่องลำแสงเจิดจ้าไปยังแอเรียลเสกให้เธอกลายร่างจากเงือกน้อยเป็นมนุษย์สาวที่มีขา... และครั้งนี้เป็นการเปลี่ยนแปลงชั่วนิรันดร์ !
แอเรียลดีใจมาก เธอวิ่งเข้าไปหาเอริค ซึ่งสวมกิดเธออย่างรักใคร่ในที่สุด เอริคก็ได้จุมพิตแอเรียลยอดรักของเขาหลังจากเสร็จพิธีอภิเสกสมรสที่งดงาม ซึ่งมีครอบครัวและเพื่อนๆทั้งหมดของเธอเข้ามร่วมพิธีกันอย่างพร้อมพรั่งแล้ว แอเรียลสวมกอดพระบิดาของเธออย่างอ่อนโยนพร้อมกับกล่าวคำอำลาพระองค์บรรดาสัตว์ทั้งหลายในท้องทะเล พากันโบกมืออำลาเมื่อเอริคและแอเรียลเดินทางจากไปอย่างมีความสุขบนเรือวิวาห์ที่สวยงาม ในที่สุดทั้งสองก็ได้ครองคู่อยู่ด้วยกันตลอดไป!
 แต่เวลาของแอเรียลหมดลงแล้ว เธอกลายร่างกลัไปเป็นเงือกภายในพริบตา ในขณะที่วาเนสได้คืนร่างเป็นเออร์ซูลาที่อัปลักษณ์ดังเดิม "ตอนนี้เจ้าตกเป็นทาสของข้าแล้ว !" เออร์ซูลาร้องบอก ก่อนที่เอริคจะทันได้ขัดขวางนางเอาไว้ เออร์ซูลาก้กระชากตัวแอเรียลกระโจนลงไปในห้องทะเลลึกอันมืดมิด และดำดิ่งลงไปเรื่อยๆเมื่อราชาทรัยตัน ทราบข่าวพระองค์ก็รีบชุดไปช่วยธิดาของพระองค์ในทันที "ออกไปฝห้พ้น นางแม่มด !" ราชาทรัยตันคำรามร้องขู่เออร์ซูลา "ตอนนี้แอเรียลได้ตกเป็นทาสของข้าแล้ว ท่าจะขัดขว้างข้าไม่ได้ !" เออร์ซูลาบอก "ถ้าอยากให้แอเรียลเป็นอิสระ ท่านต้องแต่งตั้งให้ข้าเป็นราชินีแห่งมหาสมุทรทั้งหมดของโลกใบนี้ วะ ฮา ฮ่า !" ราชาทรัยตันจึงยอมยกตรีศูลวิเศษอันทรงอำนาจและมงกุฎให้กับแม่มดร้ายเออร์ซูลา เพื่อช่วยแอเรียลผู้อันเป็นที่รักของพระองค์แต่ที่บนผิวน้ำของมหาสมุทรนั้น เอริคได้รีบรุดมาช่วยหญิงอันเป็นที่รักของเขา เขาพุ่งฉมวกเข้าใส่เออร์ซูลา "ใครบังอาจมาท้าทายราชินีแห่งมหาสมุทรทั้งหมดของโลกอย่างข้าจริงเชียว !" เออร์ซูลาร้องถามอย่างโกรธเกรี้ยว เอริคบังคับเรือให้พุ่งใส่เออร์ซูลาสัตว์ร้ายที่กำลังโกรธเกรี้ยวด้วยความเร็วสูง และไสหัวเรือที่ยาวยื่นให้ทิ่มแทงทะลุหัวใจของนาง ทำให้นางแม่มดผู้ปราชัยจมดิ่งลงไปยังก้นมหาสมุทรชั่วนิรันดร์ <อย่าเพิ่งยังไม่จบ ฟังต่อสิ>เมื่อราชาทรัยตันโบกตรีศูลวิเศษของพระองค์อีกครั้ง พระองค์ก็กลับมามีอำนาจที่ยิ่งใหญ่ดังเดิม แล้วพระองค์ก็เห็นแอเรียลนั่งอยู่บนโขดหินด้วยสีหน้าอันเศร้าสร้อยจนพระองค์รู้สึกสงสารเธอมาก เอริคยืนรอเธออยู่ที่ชายหากแต่เธอไม่สามารถเดินไปหาเขาได้ "เธอรักเขาใช่มั้ย?" พระองค์เอ่ยกับเซบาสเตียน "ข้าต้องช่วยเธอแล้วหละ" เมื่อพูดจบ พระองค์ก็ใช้ตรีศูลวิเศษส่องลำแสงเจิดจ้าไปยังแอเรียลเสกให้เธอกลายร่างจากเงือกน้อยเป็นมนุษย์สาวที่มีขา... และครั้งนี้เป็นการเปลี่ยนแปลงชั่วนิรันดร์ !แอเรียลดีใจมาก เธอวิ่งเข้าไปหาเอริค ซึ่งสวมกิดเธออย่างรักใคร่ในที่สุด เอริคก็ได้จุมพิตแอเรียลยอดรักของเขาหลังจากเสร็จพิธีอภิเสกสมรสที่งดงาม ซึ่งมีครอบครัวและเพื่อนๆทั้งหมดของเธอเข้ามร่วมพิธีกันอย่างพร้อมพรั่งแล้ว แอเรียลสวมกอดพระบิดาของเธออย่างอ่อนโยนพร้อมกับกล่าวคำอำลาพระองค์บรรดาสัตว์ทั้งหลายในท้องทะเล พากันโบกมืออำลาเมื่อเอริคและแอเรียลเดินทางจากไปอย่างมีความสุขบนเรือวิวาห์ที่สวยงาม ในที่สุดทั้งสองก็ได้ครองคู่อยู่ด้วยกันตลอดไป!


เจ้าหญิง ซินเดอร์เรลล่า 




เนื้อเรื่องย่อ 



ซินเดอเรลล่าเดิมมีชื่อว่า เอลล่า (Ella) เป็นบุตรสาวของเศรษฐีผู้มั่งมี มารดาของเธอเสียชีวิตตั้งแต่เธอยังเล็ก เป็นเหตุให้บิดาของเอลล่าจำใจแต่งงานใหม่กับมาดามผู้หนึ่งซึ่งเป็นหม้ายและมีลูกสาวติดมาสองคนเพราะอยากให้เอลล่ามีแม่ ไม่นานนักหลังจากนั้น เศรษฐีผู้เป็นบิดาก็เสียชีวิต ทำให้ธาตุแท้ของแม่เลี้ยงปรากฏขึ้น นางกับลูกสาวใช้งานเอลล่าราวกับเป็นสาวใช้ และใช้จ่ายทรัพย์ที่เป็นของเอลล่าอย่างฟุ่มเฟือย ที่ร้ายกว่านั้น ทั้งสามยังเปลี่ยนชื่อของเอลล่า เป็น ซินเดอเรลล่า ที่แปลว่า สาวน้อยในเถ้าถ่าน เพราะพวกนางใช้งานเอลล่าจนเสื้อผ้าขาดปุปะมอมแมมไปทั้งตัวนั่นเอง
ซินเดอเรลล่ายอมทนลำบากทำงานเรื่อยมาจนกระทั่งวันหนึ่ง มีจดหมายเรียนเชิญหญิงสาวทั่วอาณาจักรให้มาที่พระราชวังเพื่อร่วมงานเต้นรำ แต่ความหมายที่แท้จริงก็คือ พระราชา ต้องการหาคู่ครองให้กับเจ้าชายซึ่งเป็นพระโอรสองค์เดียว จึงใช้งานเต้นรำบังหน้า เมื่อรู้ข่าว ลูกสาวทั้งสองต่างพากันดีใจที่บางทีตนอาจมีโอกาสได้เต้นรำและได้แต่งงานกับเจ้าชายก็เป็นไปได้ เช่นกันกับซินเดอเรลล่า เพราะเธอใฝ่ฝันมาตลอดเวลาว่าจะได้เต้นรำในฟลอร์ที่งดงามและเป็นอิสระจากงานบ้านอันล้นมือเหล่านี้ แต่แน่นอน เมื่อเด็กสาวขอไป แม่เลี้ยงใจร้ายจึงกลั่นแกล้งต่างๆ นานาจนซินเดอเรลล่าไม่มีชุดใส่ไปงานเต้นรำ
ซินเดอเรลล่าเสียใจมาก จึงหนีไปร้องไห้อยู่คนเดียว ทันใดนั้นนางฟ้าแม่ทูนหัวของซินเดอเรลล่าก็ปรากฏตัวขึ้นและบันดาลชุดที่สวยงามที่สุดให้ซินเดอเรลลา พร้อมกับบอกให้เด็กสาวไปงานเต้นรำ แต่มีข้อแม้ว่าจะต้องกลับมาก่อนเที่ยงคืน ไม่เช่นนั้นเวทมนตร์จะเสื่อมลงไปในทันที
ซินเดอเรลล่าได้ทำตามความฝัน แต่ที่ยิ่งกว่านั้นคือ คู่เต้นรำที่เธอก็ไม่ทราบว่าเป็นใครนั้นคือเจ้าชายนั่นเอง ทั้งสองตกหลุมรักกันทั้งที่ยังไม่รู้ชื่อเสียงเรียงนามของอีกฝ่าย แต่เมื่อถึงเวลาเที่ยงคืน ซินเดอเรลล่าก็รีบหนีไปโดยลืมรองเท้าแก้วเอาไว้ เจ้าชายเก็บรองเท้าไว้ได้จึงประกาศว่าจะทรงแต่งงานกับหญิงสาวที่สวมรองเท้าแก้วนี้ได้เท่านั้น
เสนาบดีได้นำรองเท้าแก้วไปตามบ้านต่างๆ เพื่อให้หญิงสาวทั่วอาณาจักรได้ลอง จนมาถึงบ้านแม่เลี้ยง เมื่อลูกสาวทั้งสองลองครบแล้ว นางก็โกหกว่าไม่มีหญิงสาวในบ้านอีก พร้อมทำลายรองเท้าแก้วจนแตกละเอียด ทุกคนต่างหมดหวังว่าจะไม่สามารถหาหญิงปริศนาของเจ้าชายพบ แต่สุดท้าย ซินเดอเรลล่าก็หยิบรองเท้าแก้วอีกข้างที่เก็บไว้ขึ้นมาและสวมให้กับเหล่าเสนาได้ดู ทำให้ซินเดอเรลล่าได้แต่งงานกับเจ้าชาย และมีความสุขตราบนานเท่านาน
(ข้อคิดในนิทาน: นารีมีรูปเป็นทรัพย์ แต่ความเมตตากรุณาเป็นสมบัติอันประมาณค่ามิได้ หากปราศจากความเมตตา ย่อมไม่มีสิ่งใดเป็นไปได้ ผู้มีความเมตตาย่อมสามารถทำได้ทุกสิ่ง)[8]


........................................................................................
เจ้าหญิง สโนไวน์

เนื้อเรื่องย่อ

กาลครั้งหนึ่งในดินแดนสุดมหัศจรรย์ ยังมีองค์หญิงน้อยแสนงามผู้มีผมดำดุจไม้มะเกลือ ริมฝีปากแดงดั่งกุหลาบและมีผิวขาวผ่องดังหิมะ เธอคือสโนไวท์ ผู้ที่รู้จักเธอล้วนรักเธอเว้นแต่ราชินีแม่เลี้ยงใจร้ายผู้ริษยาในความงามของเธอสโนไวท์อาศัยอยู่ในดินแดนมหัศจรรย์ที่มีน้ำตกเจ็ดชั้นและภูเขาอัญมณีเจ็ดลูกที่ภายในมีอัญมณีเลอค่ามากมาย ภูเขาที่อยู่ห่างไกลที่สุดเป็นที่ตั้งของปราสาทที่สโนไวท์เติบโตมาภายใต้อำนาจของราชินี

ถึงแม้ว่าความปรารถนาที่จะมีรักแสนหวานของเธอจะดูเป็นไปไม่ได้แต่ความรักก็สามารถหาทางของมันได้เสมอแม้ว่าเสื้อผ้าที่ขาดรุ่งริ่งก็ยังไม่สามารถห้ามให้เจ้าชายหลงรักสโนไวท์ได้
ราชินีเกรงว่าสักวันสโนไวท์จะเติบโตและงดงามกว่าพระนาง ด้วยเหตุนี้พระนางจึงใช้ให้สโนไวท์ทำงานหนักดั่งทาส และเมื่อกระจกวิเศษเผยแก่ราชินีว่าสโนไวท์งดงามกว่าพระนาง ชีวิตของสโนไวท์ก็ตกอยู่ในอันตราย จนกระทั่งเธอได้พบเพื่อนตัวเล็กๆทั้งเจ็ดคนที่ช่วยเหลือเธอไว้
สโนไวท์วิ่งหนีใปในป่ามืด ดูเหมือนว่าต้นไม้เกิดมีชีวิตและพยายามจะฉุดรั้งสโนไวท์เอาไว้ เธอเหนื่อยล่าและหวาดกลัวจนกระทั่งหมดแรงและล้มลงกลางป่า แล้วสิ่งที่ทำให้เธอมีชีวิตชีวาอีกครั้งก็คือเสียงเพลงและรอยยิ้ม
ระหว่างที่สโนไวท์กำลังทำกูซเบอร์รี่พายของโปรดของเหล่าคนแคระ แม่ค้าเร่ก็เข้ามาคะยั้นคะยอเธอให้ทำแอปเปิ้ลพายด้วยลูกแอปเปิ้ลสีแดงสดในมือนาง และเมื่อสโนไวท์อธิษฐานต่อแอปเปิ้ลเธอกัดมันและสลบลงไปนอนกองกับพื้นทันที!
สโนไวท์ลืมตาตื่นขึ้นพร้อมกับเห็นเจ้าชายรูปงามและเหล่าคนแคระรายล้อม เจ้าชายพาเธอขี่ม้าไปที่ปราสาทของเขาและทั้งคู่ก็อย่ด้วยกันอย่างมีความสุขตลอดกาล




เจ้าหญิง ดิสนีย์